เทคโนโลยีการนำข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ |
สำหรับงานบางประเภทที่ต้องมีการป้อนข้อมูลเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
เช่น สำนักงานทะเบียนราษฎร
หรือสำนักงานประจำสายการบิน
งานเกี่ยวกับการป้อนข้อมูลเข้าระบบ
computer มีความจำเป็นมาก และ
เป็น งานที่เสียเวลาและแรงงาน
งานป้อนข้อมูลจึงจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย
ทางด้านอุปกรณ์ป้อนข้อมูลเข้า Input
แบ่งได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งไม่รวมถึง input
ด้วยระบบสื่อสารข้อมูล
กลุ่มที่ 1 ได้แก่
กลุ่มที่ป้อนด้วยตัวอักษร นั่นนั่นคือ
แป้นพิมพ์ หรือ keyboard
ซึ่งจะอ่านตัวอักษรและตัวเลขจากแป้นพิมพ์ตามที่ผู้พิมพ์กด
เข้าไปเก็บไว้ใน Computer
การป้อนข้อมูลเข้าแบบตัวอักษรอีกแบบหนึ่ง
คือประเภทบัตรเจาะรู
เครื่องอ่านบัตรเจาะรูจะอ่านเป็นรหัส
อักขระตามที่ผู้ใช้เจาะไว้
แต่ปัจจุบันบัตรเจาะรูไม่ได้ใช้กันแล้ว
บัตรเจาะรู
กลุ่มที่ 2 ได้แก่
กลุ่มที่ป้อนข้อมูลด้วยอุปกรณ์ชี้ตำแหน่ง
การป้อนแบบนี้มีลักษณะเป็นการป้อนแบบ
Graphic อุปกรณ์ที่เด่นชัดคือ Mouse ปากกาแสง Joystick
Trackball
กลุ่มที่ 3
เป็นการอ่านข้อมูลเป็นรูปภาพเข้ามาเก็บใน
computer ได้แก่พวก Scanner , OCR
หรือเครื่องอ่านตัวอักษรจากภาษาที่แสดง ได้
(ปัจจุบัน OCR
ในภาษาอังกฤษได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่
สำหรับภาษาไทย ยังไม่ประสพผลสำเร็จ) เครื่องอ่านรหัสแถบ
(Bar code)
กลุ่มที่ 4
เป็นการป้อนข้อมูลด้วยเสียงได้แก่ระบบการจดจำเสียงพูด
(Speech recognition)
เป็นระบบทบทวนและตรวจสอบเสียงปัจจุบันยังไม่ได้ผลพอที่จะนำมาใช้งานอย่างจริงจัง
เนื่องจากเสียงของคนแต่ละคนต่างกัน
แม้แต่คนคนเดียวกันพูดสองครั้งยังไม่เหมือนกัน
จึงยังนำมาใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้
กลุ่มที่ 5 เป็นกลุ่มที่ป้อนข้อมูลด้วยตัวตรวจจับพิเศษ
เช่น Switch, Sensor วัดด้าน อุณหภูมิ ความดัน
แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณอนาลอกเป็น ดิจิตอล
การป้อนข้อมูลแบบอัตโนมัตเป็นระบบ
ที่ใช้ในการควบคุมเครื่องจักร
อุปกรณ์ต่างๆ
แป้นพิมพ์
อุปกรณ์อินพุตขั้นพื้นฐาน
การพิมพ์เป็นเทคโนโลยีที่เก่าแก่เครื่องพิมพ์ดีดเครื่องแรกของโลกมี
หลักฐานยืนยันว่ามีผู้ประดิษฐ์มาแล้วเกือบ
300 ปี
แต่เครื่องพิมพ์ดีดที่ได้รับการจดทะเบียนและบันทึกหลักฐานไว้โดย
เ?นรี่ มีล เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2257
พัฒนาการของพิมพืดีดก็ก้าวหน้าขึ้นมาเป้นลำดับ
ครั้นถึงยุคสมัยอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แป้นพิมพ์ดีดจึงได้รับการนำมาใช้เป้นอุปกรณ์
ป้อนตัวอักษรให้กับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยุคแรกๆโดยเริ่มจากการป้อนผ่านบัตรเจาะรูแล้วให้เครื่องอ่านบัตรเจาะรูอีกครั้งหนึ่ง
การป้อนข้อมูลตัวอักขระในยุคแรกจึงเน้นการป้อนข้อมูลเข้าด้วยรหัส
ทางบริษัทไอบีเอ็มได้กำหนดรหัสตามโซน
ของรูที่เจาะ
ซึ่งเรียกว่ารหัสเอปซีดิกมาจนถึงปัจจุบัน
ความเป็นมาในการหาวิธีป้อนข้อมูลด้วยวิธีอื่น
การสั่งงานคอมพิวเตอร์ด้วยแป้นพิมพ์ตัวอักขระยังสร้างความยุ่งยากต่อผู้ใช้ในบางเรื่อง
เช่น ต้องจดจำข้อความที่เป็นคำสั่ง
การป้อนคำสั่งจะต้องใช้ตัวอักษรหลายตัวเรียงต่อเนื่องกัน
ทำให้เสียเวลา
ระยะหลังจึงมีคนคิดพยายามหา
วิธีการป้อนข้อมูลในรูปแบบอื่น
โดยเฉพาะสัญลักษณ์ทางกราฟิก
เนื่องจากสามารถสื่อความหมายกับผู้ใช้ได้ดีกว่าตัวอักษรเสียอีก
ดังนั้นระบบคอมพิวเตอร์
ในสมัยปัจจุบันจึงหันมาใช้ระบบ GUI-Graphic
User Interface กันมาก
และมีแนวทางที่จะแพร่หลายต่อไปอีกในโอกาสข้างหน้า
จุดเริ่มต้นของความพยายามหาอุปกรณ์อินพุตมาช่วยงาน
โดยเฉพาะในระบบของการติดต่อกับคอมพิวเตอร์มีมากกว่า
30 ปีแล้ว
และมีการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆเป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังจากปีค.ศ.
1980 เป็นต้นมา
มีการพัฒนาอุปกรณ์ช่วยอินพุตแบบต่างๆ
ขึ้นมาใช้กันมาก
กระดาษสเก็ตช์เป็นจุดเริ่มต้น
กระดาษสเก็ตช์ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์อินพุตที่ใช้กับกราฟิกรุ่นแรก
จุดเริ่มต้นของกระดาษสเก็ตช์เริ่มจากนายอิเวน อี.
ซูเธอร์แลนด์(Ivan E. Sutherland)
ได้ออกแบบสร้างขึ้นในขณะที่เขาเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่เอ็มไอทีเมื่อ
ปีค.ศ.
1962
และเสนอวิทยานิพนธ์ด้วยการใช้กระดาษสเก็ตช์เป็นอุปกรณ์อินพุตสำหรับระบบกราฟิกเพื่อการเขียนรูป
ระบบกราฟิกที่ใช้นี้ได้รับการพัฒนาบนเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์
TX-2 ของเอ็มไอที ดังรูป
ในระหว่างนั้นอุปกรณ์อินพุตที่ใช้กำหนดรูปภาพทางกราฟิกมีให้ใช้แล้วคือ
ปากกาแสง แต่ปากกาแสงมีข้อจำกัดคือ
ใช้กำหนดจุด การลากเส้น
แต่กระดาษสเก็ตช์ยังให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้อีก
เช่น กำหนดขนาดของเส้น
ความสัมพันธ์ของรูปกราฟิก
ซูเธอร์แลนด์ได้พัฒนาระบบกราฟิกที่ใช้หลักการของวินโดว์มีการขยายหรือย่อภาพได้
เรื่องราวเกี่ยวกับเม้าส์
ช่วงปี ค.ศ. 1950-1960
การใช้อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่รู้จักกันดีคือปากกาแสง
การใช้ปากกาแสงจะต้องชี้ตำแหน่งลงไปบนจอภาพ
และต้องยกออกจากจอภพไปมา
ทำให้ยุ่งยากต่อการใช้และที่สำคัญคือเทคโนโลยีของปากกาแสงต้องรอให้จอภาพสแกน
จุดสว่างวิ่งไปทั้งจอเพื่อซิงก์กับตัวรับที่ปากกา
จึงต้งอาศัยเทคนิคที่ยุ่งยากซับซ้อนและทำให้มีราคาแพง
ในปี ค.ศ. 1964 Engelbart
ได้ทำการทดสอบอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่มีในขณะนั้น
ซึ่งได้แก่ ปากกาแสง จอยสติ๊ก
ตลอดจนอุปกรณ์ลากเส้นกราฟที่ต่อกับโพเทนซิโอมิเตอร์
เขาพบว่าอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งเหล่านั้นยังใช้งานได้ไม่ดีนักโดยเฉพาะการที่จะใช้ชี้ตำแหน่งและลากเส้นบางอย่างไปด้วยกัน
พลันเขาก็นึกไปถึงอุปกรณ์ที่เขาใช้ร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นในปี
ค.ศ. 1940
ที่ใช้ในการวัดพื้นที่ที่เรียกว่า
พลานิมิเตอร์(planimeter)
ซึ่งประกอบด้วยแขนสองแขน
พร้อมลูกล้อที่ติดกับแขน
ลูกล้อนั้นจะเลื่อนหมุนไปตามแกนคือ
แกน X และ แกน Y
ในขณะที่เลื่อนปลายแขนไป
และหากเขาติดโพเทนซิโอมิเตอรไว้ที่ลูกกลิ้งที่หมุนบอกตำแหน่งแกน
X และ แกน Y
เขาก็น่าจะทำอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งให้กับคอมพิวเตอร์ได้และจุดนี้เองเป็นต้นเหตุให้เกิดความคิดในการออกแบบเมาส์ที่มีใช้ในยุคต่อมา
เมาส์ตัวแรกยังมีขนาดใหญ่
เพราะต้องใช้แกนหมุนของโพเทนซิโอมิเตอร์
การหมุนนี้จะเป็นสัดส่วนของการเลื่อนเคอร์เซอร์ไปตามแกน
X และแกน Y การเลื่อนเคอร์เซอร์ไปมา
ในระบบคอมพิวเตอร์จึงทำได้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็สามารถควบคุมการทำงาน
การตรวจสอบและใช้ในการชี้ตำแหน่งได้ง่าย
หันมาใช้ลูกบอลเล็ก
กลุ่มของ Engelbart ได้พัฒนาเมาส์ต่อไปอีก
จนกระทั่งสามารถหาสัดส่วนของการหมุนโพเทนซิโอมิเตอร์กับการเคลื่อนที่จริงบนจอภาพ
เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม
และในที่สุดก็ได้พัฒนามาเป็นลูกบอลเล็กๆที่กลิ้งไปมาได้ทุกทิศทาง
เพื่อเลื่อนแกนหมุนสองแกนของโพเทนซิโอมิเตอร์
อย่างไรก็ตาม
ในระยะหลังได้มีการพัฒนากลไกให้สามารถใช้งานง่ายขึ้น
เช่น ใช้การเปลี่ยนสัญญาณจากอะนาลอกเป็นดิจิตอล
การใช้แสงส่องพื้นโดยมีกริดเล็กๆ
บอกตำแหน่งการเคลื่อนที่ไปมา
เมาส์จึงมีรูปร่างอยางที่เห็น
เมาส์ถูกนำมาประยุกต์จนเป็นที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว
เพราะบริษัทซีล็อกซ์ได้พัฒนาระบบ GUI
ใช้วินโดว์เมนูในรูปแบบที่ใช้ตัวชี้ตำแหน่งช่วยจึงเป็นจุดขยายตัวของการใช้เมาส์
หลังจานั้นต่อมาแอปเปิ้ล
ลิซ่าและแมคอินทอชก็หันมาใช้เมาส์เป็นอุปกรณ์ประจำสำหรับการใช้ชี้ตำแหน่ง
เมาส์จึงได้รับการกล่าวถึงและแพร่หลายคุ้นเคย
กับผู้ใช้เป็นอย่างยิ่ง
ในปัจจุบันเมาส์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบวินโดว์
ตลอดจนการชี้ตำแหน่งในเวอร์กสเตชัน
ในระบบโอเอสทู ระบบไมโครซอฟต์วินโดว์
ดังรูป
เส้นทางการพัฒนาระบบยูสเซอร์อินเตอร์เฟสที่ใช้เมาส์เป็นตัวชี้ตำแหน่ง
สงครามปุ่มกด
ในยุคแรกของ SRI
ที่ทำการพัฒนาเมาส์ได้กำหนดให้มีปุ่มกด
3 ปุ่มเรียงกัน บริษัทซีล็อกซ์ก็ใช้ปุ่มกด 3
ปุ่มเช่นกัน
ในขณะที่เมาส์ของบริษัทแอปเปิ้ลที่เอามาใช้กับเครื่องแมคอินทอชใช้ปุ่มกดเพียงปุ่มเดียว
และจัดเป็นอุปกรณ์อินพุตหลักสำคัญในระบบ
(ดูที่รูป)
แต่ที่เมาส์ของบริษัทอื่นทั้งหมดที่ใช้กันในขณะนี้ใช้ปุ่มกด
2 หรือ 3 ปุ่ม
ลักษณะการกดปุ่มและจะใช้กี่ปุ่มดี
จะมีมาตรฐานที่ใช้อย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป
ส่วนขนาดและรูปร่างของเมาส์มีขนาด 6 x 10
เซนติเมตร
ซึ่งพอเหมาะกับมือของผู้ใช้
นอกจากสงครามปุ่มกดแล้ว
สงครามขั้นต่อมาคือลักษณะของวินโดว์และตำแหน่งต่างๆที่ผู้ใช้จะสามารถเชื่อมติดต่อด้วย
ลักษณะของเมนู การทำ Pop หรือ Pull
ลักษณะของไดอะลอกที่ใช้ตอบสนองกับผู้ใช้
ตลอดจนรูปร่างของสัญลักษณ์บนจอภาพ
ตัวอย่างของสัญลักษณ์ที่ออกแบบให้แตกต่างกัน
ดิจิไตเซอร์
ดิจิไตเซอร์เป้นชื่อย่อๆของการเรียก ดิจิไตซิ่งแท็บเล็ต
ซึ่งเป็นอุปกรณ์อินพุตของไมโครคอมพิวเตอร์
โดยทั่วไปจะประกอบด้วยกระดานหนึ่งแผ่นกับอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งบางทีเราเรียกว่า
ทรานซดิวเซอร์
กระดานแท็บเล็ตเป็นกระดานเรียบเพื่อใช้เป้นพื้นที่สำหรับการเขียนรูป
ตัวอย่างการใช้ดิจิไตซิ่งแท็บเล็ตในงาน
CAD
บนกระดานแท็บเล็ตจะประกอบด้วยเส้นลวดแนวแกนดิ่งและแนวแกนนอนที่ใช้ในการแทนโคออร์ดิเนตทางแกน
X และ Y
เส้นลวดภายในตรวจสอบสนามแม่เหล้กที่ส่งออกมา
เพื่อเหนี่ยวนำลวดทางแกน X และ Y ชี้บอกตำแหน่ง
X,Y
สเปกของดิจิไตซิ่งแท็บเล็ตที่สำคัญ
คือความละเอียดของการกำหนดตำแหน่งหรือเรียกว่ารีโซลูชัน
ค่าของรีโซลูชันจะเป้นตัวบอกว่าจุดที่อยู่บนกระดานแท็บเล็ตนี้มีระยะห่างน้อยที่สุดเท่าไดที่จะแยกออกจากกันได้
หากผู้ผลิตใช้ค่ารีโซลูชันเป็น 200
เส้นต่อนิ้ว(lpi)
ก็หมายความว่ากระดานขนาด 12 x 12 นิ้ว
ค่าความละเอียดของจุดในแนว
แกนทั้งสองจะแสดงจุดได้จากโคออร์ดิเนต
0-2400
หรือค่าความละเอียดบนกระดานแท็บเล็ตนี้เท่ากับ 1/200
นิ้ว
ส่วนค่าความถูกต้อง(accuracy)
เป็นค่าที่ใช้บอกความถูกต้องของการตรวจสอบเทียบกับมาตรฐานที่รู้
เช่น
การวัดความถูกต้องของผู้ผลิตกำหนดไว้จาก
0.001-0.035 นิ้ว
ซึ่งค่าความถูกต้องนี้จะสัมพันธ์กับจำนวนเส้นต่อนิ้ว
การต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์จะมีส่วนที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งคือ
การส่งข้อมูล
ซึ่งส่วนใหญ่ต่อเชื่อมแบบอนุกรมและอัตราการส่งคือการสื่อสารที่จะส่งข้อมูลได้กี่จุดต่อวินาที
การอินพุตด้วยรูปภาพ
รูปที่ใช้ในงานทางด้านคอมพิวเตอร์เป้นจุดเล็กๆเรียงต่อกันแต่ละจุดจะเป็นเพียงจุดขาวดำ
หรือมีสัดส่วนความเข้มหรือสี
ในปัจจุบันอุปกรณ์ที่เรียกว่าอิมเมจสแกนเนอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีราคาไม่แพงนัก
สแกนเนอร์ที่ใช้มือถือ(ดูภาพประกอบในรูปที่
7)อันหนึ่งราคาไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาท
สแกนเนอร์ชนิดสแกนทีละแผ่นก็เป็นอุปกรณ์อินพุตอย่างหนึ่ง
ที่จะอ่านค่าภาพเข้าไปเก็บได้
ภาพที่อ่านได้จะผ่านการกำหนดเป็นจุดของข้อมูล
ดังนั้นหากภาพหนึ่งมีรายละเอียดและสแกนเนอร์ให้ความละเอียดได้
300 จุดต่อนิ้ว ดังนั้นข้อมูลขนาด 12 x 12 นิ้ว
จะมีข้อมูลที่ต้องเก็บมากมายมหาศาลเท่ากับ
12 x 12 x 300 x 300
สแกนเนอร์โดยทั่วไปจะเชื่อมต่อกับระบบไมโครคอมพิวเตอร์โดยมีระบบฮาร์ดแวร์
พิเศษควบคุม
ทั้งนี้เพราะต้องนำข้อมูลมหาศาลเก็บเข้าไว้ในหน่วยความจำหรือดิสค์
ดังนั้นจึงต้องมีขบวนการดีเอ็มเอพิเศษช่วยประกอบด้วย
จากสแกนเนอร์เมื่อเก็บภาพได้
ภาพที่ได้จะเป็นตัวอักษรและมีซอฟแวร์ที่พัฒนา
ขึ้นมาแปรค่าให้เป้นตัวอักษรที่รู้จักกันดี
เราเรียกระบบนี้ว่า OCR-Optical Character Reader
คือระบบการรู้นำตัวอักษร
ระบบนี้กำลังได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นลำดับ
อย่างไรก็ตาม
ระบบนี้ยังมีข้อยุ่งยากทางด้านทฤษฎีและการแปรค่าความถูกต้องของการแปรความหมาย
อันเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
บาร์โค้ดหรือรหัสแถบ
บาร์โค้ดหรือรหัสแถบได้รับการพัฒนาานานกว่า
20 ปีแล้ว
รหัสแถบนี้ได้รับการประยุกต์ใช้งานในห้างสรรพสินค้า
โรงงานอุตสาหกรรม การทหาร
อุตสาหกรรมการผลิตการประกันภัย ฮลฮ
รหัสแถบนี้เป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่ใช้แถบรหัส
ซึ่งต้องอาศัยเครื่องอ่านจึงจะแปรค่าตัวเลขหรือตัวอักษรนั้นๆออกมา
รหัสแถบที่ใช้ในยุคต้นๆใช้รหัสที่ชื่อ
UPC-Universal Product Code
ซึ่งได้รับการศึกษาและออกแบบมากว่า
20 ปีแล้ว
และหลังจากนั้นก็มีการเสนอแนวความคิดที่ใช้แถบรหัสเพื่อจุดประสงค์อื่น
และเน้นให้มีการถอดรหัสได้ง่ายและไม่ผิดพลาด
ในปัจจุบันความต้องการใช้รหัสแถบมีมากขึ้นจึงต้องมีการสร้างเครื่องถอดรหัสมาใช้
ในซูเปอร์มาเก็ตใช้รหัสแถบที่มีตัวเลข 11
ตัวเพื่อใช้ในการแยกแยะชนิดของสินค้า
และเมื่อเครื่องถอดรหัสได้ก็จะมองหาราคาในแฟ้มราคาแล้วพิมพ์รายการหรือรวมยอดให้
เครื่องถอดรหัสแถบจึงต้องมีจุดมุ่งหมายให้อ่านแถบรหัสและแปรค่าโดยมีความต้องการพิเศษของการใช้รหัสแถบดังนี้
ความเชื่อถือในการอ่านและถอดรหัสให้ถูกต้อง
ต้องลดต้นทุนการพิมพ์รหัสแถบ
สามารถถอดรหัสให้ได้ถึงแม้รหัสจะมีความหนาแน่นของแถบสูง
ต้องทำให้เครื่องอ่านมีราคาถูกลง
รหัสแถบที่ใช้กันนั้นใช้หลักการของเดลต้าคอมมูนิเคชั่นในการกำหนดรหัส
ลองพิจารณาจากรูป
รหัสแบบเดลต้าเป็นวิธีที่ง่ายมากโดยการแบ่งเป็นโมดูลย่อยๆ
ที่จะกำหนดค่า 0 หรือ 1 โมดูล 1 จะแทน
ด้วยช่องว่างสีขาวหรือแถบดำหนึ่งแถบจึงแทนตัวเลข
0 หรือ 1หลายโมดูล ส่วนอีกแบบหนึ่งเราเรียกว่า
รหัสความกว้างโดยใช้ความกว้างสองขนาดแทนตัวเลข
0 หรือ 1 ลองพิจารณาจากรูปที่ 8
จะเห็นว่าเราเริ่มที่ 1 ใช้แถบกว้าง
แต่ถ้ารหัสตัวต่อมาเป็น 0
ก็จะได้แถบขาวที่แคบกว่า
และถ้ามีการเปลี่ยนค่าก็จะเปลี่ยนขนาดด้วย
สิ่งที่สำคัญของการถอดรหัสคือเครื่องสแกนอ่านรหัสแถบจะมีความเร็วในการสแกนไม่เท่ากัน
เช่น เครื่องแสกนที่ใช้มือถือ
ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตามอาจต้องหาวิธีการซิงโครไนซ์
เพื่อเป็นตัวกำหนความกว้างในตัวเองเสมือนเป็นสัญญาณนาฬิกา
รู้จักกับรหัส UPC UPC-Universal
Product Code
เป็นรหัสที่ใช้ในการแทนรหัสสินค้าที่ใช้ในการแทนรหัสสินค้าที่ใช้ในห้างสรรพสินค้าของอเมริกันมากว่า
15 ปี แต่ละรหัส ประกอบด้วยตัวเลข 12 หลัก
ตัวเลขแต่ละตัวใช้รหัสแบบ 7 โมดูล
โดยมีแถบบาร์ สีดำและขาวอย่างละ 2 แถบ
เราจะเรียกการแทนรหส UPC แต่ละตัวว่ารหัส
delta(7,2) คือใช้ หลักการเดลต้า 7 โมดูล 2
คู่แถบดำขาว
ตัวเลขแต่ละตัวแบ่งแถบออกมาเป็นบาร์ได้ดังรูป
ซึ่งจะเห็นได้ว่าเราแบ่งรหัสตามโมดูลให้มีแถบดำสองแถบและขาวสองแถบอย่างไรก็ตามการกำหนดรหัสนี้จะ
ต้องคำนึงถึงการอ่านด้วยเพราะจากสภาพการอ่านจริงเราสามารถอ่านแถบจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้ายก็ได้
ดังนั้นรหัสที่แทนตัวเลขทุกตัวจะต้องอ่านได้จากซ้ายไปขวา
หรือขวาไปซ้ายโดยไม่ซ้ำกับรหัสอื่น
การแทนรหัส UPC ของตัวเลข 0-9
แสดงได้ดังตาราง
|
ซ้าย (คู่) |
ขวา(คู่) |
ความกว้าง(รูปแบบ) |
0 |
0001101 |
1110010 |
3,2,1,1 |
1 |
0011001 |
1100110 |
2,2,2,1 |
2 |
0010011 |
1101100 |
2,1,2,2 |
3 |
0111101 |
1000010 |
1,4,1,1 |
4 |
0100011 |
1011100 |
1,1,3,2 |
5 |
0110001 |
1001110 |
1,2,3,1 |
6 |
0101111 |
1010000 |
1,1,1,4 |
7 |
0111011 |
1000100 |
1,3,1,2 |
8 |
0110111 |
1001000 |
1,2,1,3 |
9 |
0001011 |
1110100 |
3,1,1,2 |
ซึ่งจากตารางจะเห็นว่าเลขที่
1แถบรหัสจะเป็น 2,2,2,1 หมายถึงแถบกว้าง 2 หน่วย
กลับกัน ถ้าจากซ้ายเป็น 00110001
จะเป็นแถบขาวกว้างสองโมดูล แถบดำสองโมดูล
ขางสองโมดูลและดำหนึ่งโมดูล สังเกตว่า 2,2,2,1
เมื่อกลับข้างจากขวาจะเป็นรหัส 1,2,2,2
ซึ่งก็ไม่ไปซ้ำกับรหัสใด
ดังนั้นเมื่อเครื่องอ่านย้อนกลับก็ได้รหัส
1,2,2,2 จึงไม่ซ้ำกับรหัสใดที่จะทำให้ผิดพลาดได้
รหัส
UPC ที่อยู่ในแถบสินค้าแสดงดังรูปที่
10 รหัสที่อยู่บน UPC แบ่ง
โซนตัวเลขเป็นดังนี้
แถบกำหนดของซ้ายใช้ตัวรหัส 101
ตัวเลข 6 ตัวแบบคี่
(คอลัมน์ซ้ายในตารางที่ 1)
เลขหลักแรกแทนประเภทอุตสาหกรรม
เช่น 0
เป็นประเภทของชำ 3
เป็นประเภทยา
เลขห้าหลักต่อมาคือรหัสผู้ผลิต
แถบกำหนดกึ่งกลาง
(01010)
ตัวเลข 6 ตัวแบบคู่ (คอลัมน์ขวานตารางที่ 1)
เลขห้าหลักแทนรหัสชนิดหนึ่งหลักเป็นตัวเลข
check digit
ชื่อรหัส |
โมดูล |
จำนวนสัญลักษณ์ที่แทนได้ |
จำนวนโมดูล |
UPC |
delta (7,2) |
10 |
7 |
Codel128 |
delta (11,3) |
106 |
11 |
Codel93 |
delta (9,3) |
48 |
9 |
Codel39 |
Width (8,3) |
44 |
13.5
(ค่าเฉลี่ย) |
Codebar |
Width (7,2) |
16 |
10 |
แถบกำหนดของขวา
นอกจากนี้จังมีการกำหนดรหัสแถบเป็นแบบอื่นอีก
เช่น รหัส 128 เป็นรหัสแบบเดลต้า 11 โมดูล 3
คู่แถบแทนรหัสแต่ละตัวได้ 106 ตัว
ซึ่งนำมาใช้ในการแทนตัวอักษรเหมือนรหัสแอสกีได้ตารางข้างต้น
เป็นตารางที่สรุปถึงรหัสแถบแบบต่างๆ
ซึ่งมีวิธีการกำหนดเป็นมาตรฐานตลอดจนการใช้งาน
กันในโอกาสต่างๆ เพราะรหัส
UPC
แทนได้เฉพาะตัวเลข 0-9
ย่อมไม่เพียงพอจึงต้องมีรูปแบบอย่างอื่นเข้ามาช่วยเสริมรหัสแถบทีใช้ในปัจจุบันกำลังพัฒนาไปในด้านการประยุกต์
และจะมีบทบาท ที่สำคัญในงานต่างๆ
อีกมากแม้แต่บัตรเอทีเอ็มก็มีการบันทึกในแถบแม่เหล็กแบบ
รหัสแถบอนาคตยังต้องพัฒนาต่อไปด้วยเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าเช่นนี้
จะมีอุปกรณ์อินพุตอีกหลายรูปแบบที่นำมาใช้ในงานด้านต่างๆ
เช่น OMR-Optical Mark Reader ที่ใช้ในการตรวจสอบ
ระบบรับรู้เสียงพูด
เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
เทคโนโลยีหลายอย่างยังคงต้องพัฒนา
และมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ เช่น
การอ่านข้อความให้คอมพิวเตอร์เสมือนการพิมพ์การอ่านภาพ
และแปลความหมายในลักษณะที่เรียกว่า image
processing ฮลฮ
ก็เห็นจะต้องคอยติดตามดูระบบอินพุตที่จะพัฒนาต่อไปว่าจะพัฒนาก้าวหน้าได้สักเพียงไร |
อ้างอิงจาก http://web.ku.ac.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น